เลห์-ลาดัคห์-ทิเบตน้อย
ทัวร์
เอเชีย
ระยะเวลา
7 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
14-20 กันยายน 2562
Hilight

ทัวร์เลห์ 7 วัน ทัวร์เลห์ ลาดักเที่ยวครบทัวร์เลห์ ลาดัก กับทัวร์ไหนดี ?
ทัวร์เลห์ ทัวร์เมืองเอกแห่งลาดักห์ ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลภูเขาอภิมหาปราการเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาคาราโครัมขนาบไว้ 

ทัวร์ลาดักห์ คำนี้มาจากภาษาทิเบต มีความหมายว่า ดินแดนแห่งทางผ่านช่องเขาสูง จะเป็นจริงดั่งสมญานามหรือไม่คงต้องออกเดินทางไปพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง พร้อมไขกุญแจเปิดประตูสู่...ลาดักห์ เปิดกรุแห่งศรัทธาลามะของชาวลาดักห์ 
ทิเบตน้อย ชื่อนี้สำคัญไฉนขอเฉลย ลำแสงศรัทธาที่ดิ่งด่ำสู่จิตใจชาวลาดัคห์อย่างไม่สั่นคลอนเฉกเช่นเดียวกันกับชาวทิเบต ศาสนสถานน้อยใหญ่มีมากมายโดดเด่นเป็นเครื่องหมายแห่งพุทธศรัทธาที่เข้าถึงได้อย่างลึกซึ้งแนบชิด 
มนต์เสน่ห์ของลาดักห์ นอกจากจะมีธรรมชาติที่งดงามยิ่งใหญ่ตระการตาและยังคงความสวยบริสุทธิ์ที่น่าสัมผัสแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่แสดงออกให้เห็นตัวตนของชาวลาดัคห์ได้เป็นอย่างดี คือ วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนบนดินแดนแถบนี้ที่มีอายุสืบทอดกันมามากกว่าพันปี

พิเศษ ทัวร์เลห์ 7 วัน ทัวร์เลห์ ลาดักเที่ยวครบทัวร์เลห์ ลาดัก กับบริษัททัวร์ไหนดี เลือกไปกับโกลบอล ฮอลิเดย์ เพราะเชี่ยวชาญทัวร์เลห์มานานกว่า 17 ปี ทัวร์เลห์ให้ถึงแก่น ชมความงามของขุนเขาเหนือคำบรรยาย ทัวร์เลห์ ลาดัก ราคาพิเศษเพียง 59,900 บาท

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ – เดลี
    • 06.00 น. คณะพร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 10 เคาน์เตอร์ W โดยสายการบิน AIR INDIA โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      08.55 น. เหินฟ้าสู่ เมืองเดลี ประเทศอินเดีย โดยสายการบิน AIR INDIA เที่ยวบินที่ AI 333 
      (ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง 35 นาที) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
      12.00 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธี เมืองเดลี ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พบกับไกด์ท้องถิ่น นำท่านเดินทางตรงไปยังโรงแรมที่พักเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร 
      บ่าย นำท่านชม Qutab Minar  ได้รับสถานะมรดกโลกเมื่อ พ.ศ. 2536  เป็นหอสูงสร้างด้วยหินทรายแดงรูปทรงกลมมีความสูง 72 เมตร โดยท่านกุตุบอุดดินไอบาค ผู้ครองรัฐสุลต่านแห่งเดลีคนแรกได้แรงบันดาลใจที่จะสร้างหอให้สูงกว่าหอสูงแห่งเมืองแยม (Minaret of Jam) ในอัฟกานิสถานซึ่งสูง 65 เมตร ผนังด้านนอกของหอมีการสลักลวดลายแบบอิสลาม และถ้อยคำจากพระคัมภีร์กุรอานทั้งในอักษรแบบเปอร์เชีย – อารบิคและนาครี  จากนั้นอิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งที่ตลาดท้องถิ่น
      ได้เวลาพอสมควร นำท่านไปเดินสำรวจตลาดเพื่อช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าท้องถิ่นราคาถูกที่ ตลาดท้องถิ่น
      ค่ำ    รับประทานอาหารค่ำ  เข้าสู่โรงแรมที่พัก  Hotel Pride Plaza Aerocity 5* หรือเทียบเท่า
  • Day 2
    เดลี – เลห์
    • 03.30 น. รับประทานอาหารเช้าจากโรงแรม แบบกล่อง (Breakfast Box)
      03.55 น. คณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธี ณ อาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ 
      ที่เคาน์เตอร์สายการบิน AIR INDIA เพื่อทำการเช็คอินสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ
      05.55 น. เหินฟ้าสู่ เมืองเลห์ แคว้นจามมูและแคชเมียร์ โดยสายการบิน AIR INDIA เที่ยวบินที่ AI 445 
      (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 25 นาที) (บริการอาหารว่างบนเครื่องบิน)
      07.20 น. เดินทางถึงสนามบินคุชช็อค บากูลา ริมโปเช เมืองเลห์ สนามบินพาณิชย์ที่อยู่สูงที่สุดในประเทศอินเดียและสูงที่สุดของโลกอันดับที่ 20 ตั้งอยู่ในระดับความสูง 3,256 เมตรจากระดับน้ำทะเล หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พบกับไกด์ท้องถิ่น นำท่านเดินทางตรงไปยังโรงแรมที่พักเพื่อรับประทานอาหารเช้าและพักผ่อน 
      เช้า รับประทานอาหารในโรงแรม
      เชิญท่านพักผ่อนในห้องพักเพื่อปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและอากาศที่เบาบางบนที่สูงในช่วงครึ่งวันเช้า  
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารของโรงแรม 
      บ่าย เริ่มท่องเที่ยวเปิดประตูสู่ เลห์ โดยเรียนรู้ความเป็นมาในอดีตสู่ปัจจุบันผ่าน พระราชวังเลห์ (Leh Palace)  พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเซโม เริ่มต้นสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1553 โดยกษัตริย์เชวาง นัมเกียล ซึ่งเป็น

      กษัตริย์แห่งราชวงศ์นัมเกียลในลาดัคห์ และสร้างเสร็จสิ้นใน
      ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยกษัตริย์ซังเย นัมเกียล หรือที่รู้จักใน
      นามของกษัตริย์สิงโต (Lion King) ซึ่งมีสถานะเป็นหลานของ
      กษัตริย์เชวาง ตัวอาคารพระราชวังมีทั้งหมด 9 ชั้น โดยชั้นบนจะถูก
      ใช้เป็นตำหนักที่ประทับของเหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งลาดัคห์ ส่วนชั้นล่างลงมา
      ก็ถูกใช้เป็นห้องเก็บของต่างๆรวมถึงเป็นคอกม้าด้วย แต่ในเวลาต่อมาราวปีค.ศ. 1842 ถูกกองกำลังทหารราบของกองทัพแห่งราชวงศ์โดกราที่แคว้นจามมูเข้ามารุกรานและควบคุมปกครองแคว้นลาดัคห์ กษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์จึงได้ทอดทิ้งพระราชวังแห่งนี้แล้วย้ายไปยังพระราชวังสต๊อกแทน ปัจจุบันวังหลวงแห่งนี้จึงเป็นเสมือนหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกให้เห็นถึงความโหดร้ายของภัยสงครามที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงในอดีต โครงสร้างของพระราชวังแห่งนี้ดูคล้ายกับพระราชวังโปตาลาในเมืองลาซาของทิเบต แต่มีขนาดเล็กย่อมกว่า โดยยึดหลักการของโครงสร้างแบบสถาปัตยกรรมทิเบต คือ ต้องตั้งอยู่ตรงกลางบนสันเขา และมีระเบียงไม้ยื่นออกมา รวมถึงมีกำแพงขนาดใหญ่เป็นโครงสร้างส่วนค้ำจุน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสถาปัตยกรรมทิเบตแนวนี้ โดยพระราชวังนี้สร้างด้วยมีส่วนประกอบต่างๆ ได้แก่ หิน ไม้ โคลน และทราย ซึ่งกำแพงของพระราชวังจะสร้างด้วยไม้และโคลนเป็นส่วนประกอบหลักเพื่อช่วยในการปกป้องความร้อนที่แผดเผาทำให้อุณหภูมิภายในพระราชวังเย็นสบายขึ้น ส่วนประตูทางเข้าพระราชวังก็มีการประดับตกแต่งด้วยงานแกะสลักไม้อย่างงดงาม ภายในพระราชวังถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับรูปภาพเก่าและภาพวาดสีเก่า และภาพพระบฏแบบทิเบต ซึ่งภาพวาดเหล่านี้หลายชิ้นมีอายุกว่า 450 ปี เพราะทำจากผงหินและผงอัญมณีที่สกัดมาจากธรรมชาติซึ่งยังคงสีสันสวยเจิดจรัสสะดุดตาจนกระทั่งทุกวันนี้ อีกทั้งยังเป็นที่เก็บรวบรวมบรรดามงกุฎต่างๆ เครื่องประดับอัญมณีล้ำค่า และชุดอาภรณ์เครื่องทรงสำหรับงานราชพิธีต่างๆ เป็นต้น
      เมื่อมองถัดออกไปในทิวเขาเดียวกัน ท่านจะสามารถมองเห็น ป้อมแห่งชัยชนะ (Victory Tower) ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของเหล่าทหารกล้าลาดัคห์ในการสู้รบต่อต้านการรุกรานของกองทัพทหารบัลติ-แคชเมียร์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 
      นำท่านชม เจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) เป็นเจดีย์ทรงโอคว่ำ (แบบเจดีย์สาญจี) มีฐานเป็นแบบทรงกลมซ้อนสองชั้น ส่วนฉัตรยอดเป็นสีทอง ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1983 และสร้างเสร็จสิ้นในปีค.ศ. 1984 ซึ่งการสร้างเจดีย์แห่งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างกันของญี่ปุ่นและอินเดียภายใต้การกำกับดูแลของพระภิกษุสงฆ์ชาวญี่ปุ่นนามว่า Bhikshu Gyomyo Nakamura และพระลามะแห่งลาดัคห์นามว่า Kushok Bakula โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนบางส่วนจากรัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของอินทิรา คานธี  โดยการจัดสร้างนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Peace Pagoda Mission ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระการเผยแผ่พุทธศาสนาครบรอบ 2,500 ปี และเพื่อเรียกร้องให้ชาวโลกทั้งหลายร่วมมือกันในการสร้างสันติภาพให้เฟื่องฟูทั่วโลกอีกด้วย โดยองค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 ทรงเสด็จมาเป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1991    เจดีย์สันติภาพนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาในย่านจัมสปา ห่างจากใจกลางเมืองเลห์ประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนบนยอดเขานี้มีลักษณะเป็นลานกว้างหน้าเจดีย์ มักมีเหล่านักท่องเที่ยวขึ้นมาชมวิวและถ่ายภาพ บางคนก็นิยมเดินเท้าขึ้นบันได ใช้เวลาราว 15 นาที เพื่อขึ้นไปยังบริเวณที่ตั้งเจดีย์ เพราะวิวทิวทัศน์ของเมืองเลห์ในยามเย็นจากมุมสูง จัดเป็นจุดชมวิวชั้นเลิศที่สวยสุดโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งในเลห์ที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินได้อย่างงดงาม ทางด้านหลังของเนินเขามีเส้นทางให้รถยนต์สามารถขับขึ้นไปได้เช่นกัน
      จากนั้นหากมีเวลาเหลือ นำท่านเดินชมความงดงามของเมืองเลห์ ชมร้านค้าต่างๆ บนถนนเมนบาซาร์และตลาดท้องถิ่นโมติ
      ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ ณ ร้านอาหาร
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Spic and Span Hotel 4*,โรงแรมท้องถิ่น หรือเทียบเท่า

  • Day 3
    เลห์ – เชย์ – เลห์
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      เช้าวันนี้นำท่านเดินทางออกจากเมืองเลห์ไปราว 19 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที เพื่อชม วัดธิคเซย์ (Thiksey Monastery) จัดว่าเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของนิกายเกลุคปะ (Gelukpa) ในเขตลาดัคห์ตอนกลาง และถือเป็นวัดตัวอย่างด้านสถาปัตยกรรมแบบลาดัคห์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง นิกายเกลุคปะ (Gelukpa) มีต้นนิกายคือ ท่านซงคาปา  หรือที่เรารู้จักกันในนามของนิกายหมวกเหลือง (Yellow Sect) โดยมีองค์ดาไลลามะเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณของนิกายนี้ วัดนี้ได้เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ. 1433 โดยท่านเซอร์รัป ซางโป (Sherab Zangpo) และถูกสร้างขยายเพิ่มเติมต่อโดยลูกศิษย์ของท่านที่มีนามว่าท่านปัลเดน ซางโป (Palden Zangpo) ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 วัดธิคเซย์ตั้งอยู่บนความสูง 3,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในบริเวณหุบเขาสินธุ มีสถาปัตยกรรมภายนอกดูคล้ายคลึงกับพระราชวังโปตาลาในทิเบต อาคารหลักของวัดนี้มีทั้งหมด 12 ชั้นและมีอาคารหลังอื่นๆรายล้อมอยู่มากมายไล่ไปตามทางลาดเขา ส่วนอาคารดังกล่าวเป็นที่เก็บรักษาสิ่งของล้ำค่าทางพุทธศิลป์จำนวนมาก เช่น เจดีย์สถูป พระพุทธรูป ภาพพระบฎ จิตรกรรมฝาผนังสี และดาบต่างๆ เป็นต้น ภายในวัดยังมีอารามสำคัญ คือ อารามเมตไตรย ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการเสด็จมาเยือนขององค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 ในปีค.ศ.1970 ภายในอารามหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นพระศรีอาริยเมตไตรยขนาดที่ใหญ่ที่สุดของลาดักห์เทียบความสูงถึงตึกอาคาร 2 ชั้น สำหรับชาวพุทธมหายานเชื่อว่าพระศรีอาริยเมตไตรยคือพระโพธิสัตว์องค์ต่อไปที่จะคอยช่วยเหลือมนุษย์และเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต (วัดแห่งนี้จะมีการสวดมนต์ทำวัตรเช้าของลามะประมาณ 07.00 น. หากท่านต้องการชมพิธีการดังกล่าว ก็สามารถไปเช้าเพื่อเข้าชมได้)
      เดินทางต่อสู่ วัดเฮมิส (Hemis Monastery) อยู่ห่างจากวัดธิคเซย์ออกไปทางทิศใต้ประมาณ 26 กิโลเมตร
      วัดเฮมิส เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเขตลาดัคห์ของนิกายนิงมาปะ ซึ่งเป็นนิกายดั้งเดิมของศาสนาพุทธแบบทิเบตวัชรยาน หรือที่เรารู้จักกันในนามของนิกายหมวกแดง (Red Sect) มีต้นนิกายคือ ท่านปัทมสัมภวะ หรือในชื่อเรียกที่ชาวทิเบตและชาวภูฏานเอ่ยนามท่านว่า คุรุริมโปเช (Guru Rinpoche) ซึ่งเป็นพระภิกษุอินเดียรูปแรกที่ประสบความสำเร็จในการนำพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในบริเวณอาณาจักรทิเบตและอาณาจักรอื่นๆบริเวณแถบหิมาลัยและอินเดียเหนือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ท่านได้รับความศรัทธานับถือจากคนท้องถิ่นแถบเทือกเขาหิมาลัยเป็นอย่างมากเพราะเดิมคนเหล่านี้เคยนับถือเพียงแต่ลัทธิบอน วัดเฮมิส เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งที่มีประวัติกล่าวอ้างอิงถึง ตั้งแต่ยุคของท่านนาโรปะ (ศิษย์เอกของท่านติโลปะ) กับท่านมาร์ปะผู้แปลพระสูตร (ศิษย์เอกของท่านนาโรปะ) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-11 แต่วัดนี้มีการสร้างใหม่อีกครั้งในช่วงปีค.ศ. 1672 โดยกษัตริย์ซังเย นัมเกียล ผู้ปรีชาฌานที่สุดของราชวงศ์นัมเกียลจนได้สมญานามว่า “กษัตริย์สิงโต” วัดแห่งนี้จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองประจำปีเพื่อระลึกถึงพระกรุณาธิคุณขององค์คุรุรินโปเช ราวช่วงเดือนมิถุนายนตามปฏิทินแบบทิเบตจันทรคติ 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ( Pack Lunch ปิกนิก)
      บ่าย เดินทางสู่ เชย์  ซึ่งเป็นเมืองหลวงฤดูร้อนเก่าของลาดัคห์ อยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางทิศใต้ราว 15 กิโลเมตร นำท่านชม พระราชวังเชย์ (Shey Palace) ที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ Deldan Namgyal ในช่วงปีค.ศ. 1655 เพื่อรำลึกถึงพระบิดา Sengge Namgyal โดยพระราชวังเชย์มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นวัดจึงถูกสร้างขึ้นพร้อมกันเป็นคอมเพล็กซ์ ส่วนพระราชวังก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นวังที่ประทับในช่วงฤดูร้อนของเหล่ากษัตริย์

      แห่งลาดัคห์ ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวถูกใช้งานมา
      ยาวนานถึง 187 ปีจนกระทั่งปีค.ศ. 1842 ก็ถูกกองทัพทหารของ
      ราชวงศ์โดกราที่แคว้นจามมูเข้ามารุกรานแคว้นลาดัคห์ กษัตริย์
      และเหล่าเชื้อพระวงศ์จึงได้ทอดทิ้งพระราชวังแห่งนี้แล้วย้ายไปยังพระราช
      วังสต๊อกแทน เฉกเช่นเดียวกันกับพระราชวังเลห์ ในส่วนของวัดเชย์ ภายในอารามหลักเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นพระศากยมุนีขนาดสูง 12 เมตรที่ใหญ่ที่สุดของลาดักห์เทียบเท่าความสูงตึก 3 ชั้น และกำแพงที่รายล้อมด้านหลังรูปปั้นเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังของอัครสาวก 2 องค์ขนาบข้างซ้ายขวาคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ และกำแพงฝั่งด้านซ้ายและขวาของรูปปั้นยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นภาพพระอรหันต์ทั้ง 16 องค์ ข้างละ 8 องค์ ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของที่นี่เช่นกัน
      นำท่านชม พิพิธภัณฑ์สตอคพาเลซ (Stok Palace Museum) ซึ่งเดิมเป็นพระราชวังที่ประทับถาวรแห่งสุดท้ายของราชวงศ์นัมเกียลแห่งลาดัคห์ ที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1825 โดยกษัตริย์เซปัล นัมเกียล ครั้นเวลาผ่านไปเพียง 17 ปีก็ถูกกษัตริย์ฮินดูแห่งราชวงศ์โดกราที่ปกครองแคว้นจามมูและแคชเมียร์นามว่า Gulab Singh ได้ยกทัพมาตีที่แคว้นลาดักห์ จนทำให้บรรดาเชื้อพระวงศ์และกษัตริย์ต้องหลีกหนีย้ายมาประทับอยู่ที่นี่แทน พระราชวังสตอคมีความสูงถึง 4 ชั้น ภายในมีห้องมากกว่า 77 ห้อง แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์เพียงไม่กี่ห้องเท่านั้นอันเป็นสถานที่จัดแสดงทรัพย์สมบัติล้ำค่าของราชวงศ์นัมเกียลและเป็นที่เก็บรวบรวมบรรดาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพชรนิลจินดาล้ำค่า เครื่องแต่งกายของกษัตริย์และราชินี มงกุฎกษัตริย์ ตราประทับสัญลักษณ์ของราชวงศ์ เหรียญกษาปณ์โบราณ อีกทั้งยังมีห้องจัดแสดงแยกต่างหากสำหรับโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆของอาณาจักรลาดัคห์ อาทิเช่น ดาบ โล่ป้องศัตราวุธ ธนู ลูกศร กระบอกบรรจุลูกธนู และปืน เป็นต้น ปัจจุบันสตอคพาเลซได้ถูกดัดแปลงเป็นโรงแรมแนว Heritage hotel อีกด้วย
      ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Spic and Span Hotel 4*,โรงแรมท้องถิ่น หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    เลห์ – หุบเขานูบรา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเดินทางสู่ หุบเขานูบรา (Nubra Valley) มีระยะทางห่างจากเมืองเลห์ราว 150 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง ระหว่างทางท่านจะเพลิดเพลินได้ชมความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาคาราโครัมที่โอบล้อม นูบราจึงประดุจดั่งสถานที่สำคัญเร้นแต่ไม่ลับของลาดัคห์ที่รอผู้คนมาเยือน โดยเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังหุบเขานูบรา ต้องผ่านทางช่องเขาสูงที่มีชื่อว่า คาร์ดุงลา (Khardungla Pass) ซึ่งเป็นเส้นทางรถยนต์ที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ณ ความสูง 5,359 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่อยู่ห่างจากเลห์เพียง 39 กิโลเมตร คาร์ดุงลาถือว่าเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่บรรดาคาราวานพ่อค้าต่างๆใช้เส้นทางนี้เพื่อสัญจรระหว่างเมืองเลห์ไปยังเมืองคัชการ์ที่เป็นประตูสู่เอเชียกลางในเวลานั้น การเดินทางสู่นูบราวัลเล่ย์ต้องขออนุญาตเป็นกรณีเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกชาติที่เรียกกันว่า Inner Line Permit 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ เต้นท์ห้องอาหาร (Late Lunch)
      บ่าย หลังอาหาร ออกเดินทางต่อสู่ หุบเขานูบรา ระหว่างทางท่านจะ
      อิ่มอกอิ่มใจกับภูมิทัศน์อันงดงามของภูเขาสูงเสียดฟ้าห่อหุ้มด้วย
      หิมะบนปลายยอดตัดกับฉากหลังของเส้นขอบฟ้าที่สร้างความตะลึ
      งพรึงเพริดให้แก่ผู้พบเห็น นูบราในภาษาท้องถิ่นมีความหมายว่า 
      หุบเขาแห่งดอกไม้ ดังนั้นท่านจะสามารถพบเห็น กุหลาบสีเหลือง แอปเปิ้ล และสวนแอพริคอท ที่ชาวลาดัคห์ปลูกไว้เรียงรายอยู่ทั่วหุบเขานูบรา นอกจากนี้บริเวณหุบเขานูบรายังเป็นที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด
      นำท่านชม วัดซัมสทันลิ่ง  (Samstanling Monastery) วัดพุทธสไตล์ทิเบตที่ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านซูเมอร์ในหุบเขานูบรา สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1841 โดยลามะ Tsultim Nima ที่มีความเก่าแก่ถึง 176 ปี
      เย็น เดินทางถึงแค้มป์ที่พัก (เต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยวแบบท้องถิ่น) เชิญท่านพักผ่อนอิสระตามอัธยาศัย 
      ค่ำ      รับประทานอาหารค่ำ ณ เต้นท์ห้องอาหาร  
           พักผ่อนตามอัธยาศัยที่ เต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยวแบบท้องถิ่น
  • Day 5
    หุบเขานูบรา – เลห์
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในเต้นท์ห้องอาหาร ณ แค้มป์ที่พัก
      หลังอาหารเช้า นำท่านออกเดินทางไปยัง วัดเดสกิต (Deskit Monastery) วัดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในแถบหุบเขานูบราราวช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 สร้างโดยศิษย์ของท่านซงคาปาที่มีชื่อว่า Changzem Tserab Zangpo  เป็นวัดในนิกายหมวกเหลืองและเป็นวัดสาขาของวัดธิคเซย์ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ตามหลักการสร้างวัดของพุทธศาสนาแบบทิเบตวัชรยานมักนิยมสร้างวัดไว้บนยอดเขาสูงเพราะมีชัยภูมิที่ดี เชื่อว่าเป็นที่สถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง คำว่า วัด (Monastery) ที่นี่บางครั้งก็เรียกว่า กอมปา (Gompa) ท่านจะพบเห็นสถูปเจดีย์ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของคนที่นี่อย่างสังเกตได้ชัด ศาสนากลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น 
      หากท่านต้องการไปฟังการสวดมนต์ยามเช้าของเหล่าพระลามะน้อยใหญ่ จำเป็นต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางขึ้นเขา ธรรมชาติเมฆหมอกยามเช้างดงามมากเกินกว่าจะบรรยายได้ ดีที่สุดคือตื่นมารับแสงอรุณและดื่มด่ำกับโอโซนตามธรรมชาติแสนบริสุทธิ์และมาฟังธรรมโอสถด้วยตัวท่านเอง การสวดมนต์ของพระลามะที่นี่ดูมีสีสัน และมีชีวิตชีวา น่าเร้าใจ และมีแบบแผนที่น่าทึ่ง เห็นพิธีการที่มีพระลามะต่างก็ทำหน้าที่รัวกลองและเป่าแตรยาว คอยกำกับจังหวะเป็นช่วงๆ หลังการสวดมนต์แต่ละตอนจบลง
      ภายในวัดบริเวณลานโล่งด้านล่างที่ล้อมรอบด้วยอาคารสูง 4 ชั้น สามารถเดินหากันได้หมด บางส่วนถูกกันให้เป็นพื้นที่สงวนเฉพาะของทางวัดไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไป คือ หอเก็บพระคัมภีร์ หากท่านสังเกต
      บริเวณด้านบนของหลังคา จะพบเห็นพุทธศิลป์ที่เป็นรูปกงล้อธรรมจักรขนาบด้วยกวางสองตัว ซึ่งเป็นการปบ่งบอกให้รู้ถึงการประกาศธรรมเทศนา หรือที่เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เมื่อท่านเดินเข้าไปชมอารามด้านในแต่ละส่วน ซึ่งมีส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ วิหารแรกเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์ เข้าไปกราบสักการะ


      ได้ วิหารที่สองเป็นที่เก็บรวบรวมอัฐิธาตุของอดีตเจ้าอาวาสทุก
      องค์ของวัด วิหารที่สามเป็นสถานที่ใช้สำหรับสวดมนต์และทำ
      พิธีทางศาสนา  ไฮไลท์สำคัญของวัดนี้คือ ภาพเฟรสโก้รูปวัดทาชิลุน
      โปในทิเบต ที่มีความเกี่ยวข้องอย่างไรนั้น ลองไปฟังเรื่องราวกับไกด์ท้อง
      ถิ่นโดยตรงเมื่อสมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางต่อไปกราบนมัสการ พระศรีอาริยเมตไตรย ที่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง โดดเด่นงดงามเหนืออื่นใด ชาวลาดัคห์เรียกท่านในอีกชื่อหนึ่งว่า จัมปา (Jampa) รูปปั้นมีขนาดสูง 32 เมตร โดยพระพักตร์หันหน้าไปยังแม่น้ำ Shyok สู่ฝั่งปากีสถาน สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2006 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ เพื่อปกป้องหมู่บ้านเดสกิต  เพื่อป้องกันภัยสงครามกับปากีสถานในอนาคต และเพื่อรณรงค์ส่งเสริมสันติภาพโลกให้สงบสุข อิสระเชิญท่านกราบขอพรเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ในเต้นท์ห้องอาหาร ณ แค้มป์ที่พัก
      บ่าย เมื่อได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับสู่เมืองเลห์ ระหว่างทางขากลับตลอดเส้นทาง ชมวิวทิวทัศน์ที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้างทั้งเทือกเขาสูงไล่สลับทิวน้อยใหญ่อย่างละลานตา สายน้ำไหลคดเคี้ยวดั่งลายเส้นตวัดไปมา และผืนทรายที่แต่งแต้มอย่างลงตัว ปรากฎต่อสายตาดูเพลิดเพลินถึงอกถึงใจ
      ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Spic and Span Hotel 4*,โรงแรมท้องถิ่น หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    เลห์ – ทะเลสาบพันกอง – เลห์
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ ทะเลสาบพันกอง มีระยะทางห่างจากเมืองเลห์ราว 150 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง ระหว่างทางท่านจะเพลิดเพลินได้ชมความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาคาราโครัมที่โอบขนาบ โดยเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบพันกอง ต้องผ่านหมู่บ้านต่างๆตามรายทาง และที่สำคัญคือต้องผ่านทางช่องเขาสูงที่มีชื่อว่า ชางลา (Changla Pass) ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านเขาที่สูงที่สุดของลาดัคห์ ณ ความสูง 5,360 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  ความหมายของชาง แปลว่า ทิศใต้ ส่วน ลา แปลว่า เส้นทางผ่าน จึงหมายความว่า เส้นทางผ่านสู่ทางใต้ ตามลักษณะของภูมิประเทศแถบนั้น สำหรับการเดินทางสู่ทะเลสาบพันกองต้องขออนุญาตเป็นกรณีเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่เรียกกันว่า Inner Line Permit เช่นเดียวกับที่หุบเขานูบรา
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ( Pack Lunch ปิกนิก)   
      บ่าย ชมความงามของ ทะเลสาบพันกอง(Pangong Lake) ซึ่งมีความยาวถึง 134 กิโลเมตร กว้าง 5 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 604 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ 60% ของทะเลสาบอยู่ในเขตแดนของทิเบต ประเทศจีน อีก 40% อยู่ในเขตแดนของลาดัคห์ ประเทศอินเดีย เป็นทะเลสาบปิดน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในแถบเทือกเขาหิมาลัย ณ ความสูง 4,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อิสระให้ท่านชื่นชมความงามของทะเลสาบที่มีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง ทางการอินเดียเพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เมื่อไม่นานมานี้ น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีสันสวยงาม

      มาก โดยเฉพาะในช่วงเย็นน้ำจะมีสีน้ำเงินเข้ม ส่วนช่วงเช้าจะ
      มีสีอ่อนกว่า ไม่มีปลาหรือสัตว์น้ำอาศัยอยู่ในทะเลสาบ 
      แต่อย่างไรก็ดีทะเลสาบแห่งนี้ถือเป็นแหล่งอาหารสำคัญของเหล่า
      นกนานาชนิดในช่วงฤดูอพยพของนกหลากชนิด ท่านสามารถพบเห็น
      สัตว์จำพวกนกนางนวลและเป็ดลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำในช่วงฤดูร้อน ส่วนในฤดูหนาว น้ำในทะเลสาบจะแข็งตัวและมีอากาศหนาวเย็นมากเมื่อได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับสู่เมืองเลห์
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Spic and Span Hotel 4*,โรงแรมท้องถิ่น หรือเทียบเท่า
       
  • Day 7
    เลห์ – เดลี – กรุงเทพฯ
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      08.30 น. คณะเดินทางถึงสนามบินคุชช็อค บากูลา ริมโปเช เมืองเลห์ สายการบิน AIR INDIA เพื่อทำการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศ 
      11.00 น. เหินฟ้าสู่ เมืองเดลี ประเทศอินเดีย โดยสายการบิน AIR INDIA เที่ยวบินที่ AI 446 
      (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 25 นาที)  (บริการอาหารว่างบนเครื่องบิน)
      12.25 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธี เมืองเดลี รอเปลี่ยนเครื่อง กรุณาเดินไปขึ้นเครื่องบินเที่ยวต่อไปทันที
      13.50 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยสายการบิน AIR INDIA เที่ยวบินที่ AI 332 
      (ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง 15 นาที) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
      19.35 น.      เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
Top